โสดมา 10 ปี เจมส์ มาร์ กับจุดเปลี่ยนชีวิต
เป็นอีกหนึ่งพระเอกหนุ่มหล่อหน้าตี๋อีกคนที่ได้ผู้จัดมือทองอย่าง เอ ศุภชัย ปั้นมากับมือ สำหรับ เจมส์ มาร์
เผลอแป๊บเดียวก็อยู่ในวงการบันเทิงมา 9 ปีแล้ว และตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวนั้นแทบไม่มีข่าวฉาวออกมาเลยแม้แต่น้อย มีแต่เรื่องผลงานที่ให้แฟนๆ ได้พูดถึงก็เพียงเท่านั้น
และสิ่งที่เราๆ จะได้ยินจากปากของพี่เอ และหลายๆ คนที่ได้รู้จักพระเอกหนุ่มคนนี้ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เจมส์ มาร์ นั้นเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและจริงจังตั้งใจในการทำงานมากๆ
เจ้าตัวเคยบอกกับทีมงานว่า ภาพลักษณ์นิ่งๆ ของผมก็อาจจะทำให้คนไม่กล้าเข้ามาหาหรือว่าคุยเล่นกับผมมาก เพราะหลายคนคิดว่าไม่รู้จะเริ่มคุยยังไง ผมไม่ได้หยิ่งแต่คนอาจจะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนากับผมยังไงดีมากกว่า
แต่ทุกคนมีหลายมุม ทั้งขี้เล่น สุขุม แต่จริงๆ ตัวผมเป็นคนสบายมากๆ ใช้ชีวิตง่าย อยู่ง่าย และอาจจะขี้เล่นกับคนที่สนิท และค่อนข้างจริงจังกับการทำงาน เลยทำให้คนได้เห็นภาพนั้น
แต่คนไม่ค่อยได้เห็นเวลาอยู่ในกอง ด้วยความที่ผมไม่เล่นโซเชียลเยอะด้วย เลยไม่ได้เห็นผมในมุมที่ผมตอนกินข้าว เล่นเกมหรืออยู่กับเพื่อน
หนุ่มเจมส์ ยังเล่าเกี่ยวกับชีวิตการทำงานว่า ผมไม่เคยท้อจากเรื่องที่โดนว่าหรือโดนเปรียบเทียบเลย ถ้าจะท้อก็ท้อเพราะว่าตัวเองทำไม่ได้มากกว่า ถ้าผมรู้สึกท้อและไม่อยากทำนั่นเป็นเพราะว่าตัวเองทำไม่ได้
แต่ความรู้สึกนั้นไม่เคยเกิดจากการถูกเปรียบเทียบหรือถูกต่อว่าเลย ไม่เคยรู้สึกอยากเลิกทำงานในวงการบันเทิงเพราะคนอื่น มี แต่เพราะตัวเองมากกว่า
เจมส์ได้เล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองนั้นเคยท้อจนไม่อยากจะทำงานในวงการบันเทิงต่อให้ฟังว่า มันเกิดขึ้นตอนที่เขานั้นเตรียมจะเล่นละครเรื่องข้าบดินทร์ว่า
ตอนที่มีความรู้สึกไม่อยากทำงานในวงการนี้แล้ว เพราะตอนนั้นผมต้องเรียนดาบที่จะต้องเล่นละครเรื่องข้าบดินทร์ ผมเรียนดาบ 6 เดือนแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ซะที
พอซ้อมเสร็จก็ต้องสู้กับครูจริงๆ ทุกครั้งที่พลาดแล้วโดนตี มันเจ็บ แค้น และโมโหตัวเองทำไมทำไม่ได้ซะที ตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากทำงานในวงการบันเทิงแล้ว
แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นผมก็ยังเด็กด้วย และยังโดนกระแสวิจารณ์ว่าไม่เหมาะสมกับบทนี้อีก แต่อย่างที่บอกกระแสวิจารณ์ไม่ได้ทำให้ผมไม่อยากเล่นละครเท่ากับตัวผมเองทำไม่ได้
ยิ่งคนไม่ชอบ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากเป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนดูให้ได้ ในช่วงนั้นเลยทำให้ผมแอบมีความคิดไม่อยากจะทำงานต่อแล้ว
ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว เจมส์มองตัวเองและวางตัวเองต่อจากนี้เอาไว้อย่างไร เจ้าตัวก็ตอบว่า ผมไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้จะทำให้การทำงานเป็นอย่างไรต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า จะทำงานกันยังไง ผมขอมองปีต่อปีดีกว่า ผมอยากให้คนดูมีภาพจำต่อผมในฐานะที่เป็นนักแสดง
จำที่ผลงานที่เขาชอบและรัก นั่นอาจจะหมายความว่า ผมอาจจะเล่นไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ไม่เต็มที่อย่างที่เคยทำ ก็คงไม่ทำแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็ตามที่มีปัจจัยอื่นเข้ามาทำให้ผมทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่เต็มที่ไม่ได้ก็ไม่เป็นดีกว่า เพราะไม่อยากให้แฟนๆ รู้สึกผิดหวังเมื่อได้เห็นผลงานของเราที่ออกไป เมื่อถึงเวลานั้นก็คงมานั่งคิดทบทวนว่าตัวเองควรจะเปลี่ยนอาชีพหรือเปล่า
แต่ถ้าไม่ทำอาชีพนักแสดงแล้ว ถามว่าจะทำอะไร เอาจริงๆ ตอนนี้ผมก็พยายามมองหาสิ่งที่ตัวเองชอบและถูกใจ พยายามเรียนรู้ในสิ่งเหล่านั้นให้เยอะๆ เพราะไม่รู้ว่าในวันหนึ่งมันอาจจะเป็นงานใหม่ หรือเส้นทางอื่นของชีวิต แต่หลักๆ ตอนนี้ผมยังทำงานตรงนี้อย่างเต็มที่อยู่
สำหรับเรื่องความรักเจ้าตัวบอกว่า ผู้ใหญ่ไม่เคยสั่งห้ามเรื่องความรัก ไม่ว่าจะเอ – ศุภชัย ศรีวิจิตร หรืออ๋า ผู้จัดการส่วนตัวก็ตามผู้ใหญ่ไม่เคยสั่งห้ามเรื่องความรัก ไม่ว่าจะเอ ศุภชัย ศรีวิจิตร หรืออ๋า ผู้จัดการส่วนตัวก็ตาม
เพียงแต่ตนยังไม่เจอใครที่รู้สึกว่าใช่ ดังนั้นข่าวที่ว่ามีแฟนแล้วแต่ไม่เปิดตัวเพราะกลัวกระแสตกก็ไม่เป็นความจริง ส่วนสเป็คที่ชอบ
ชอบคนน่ารัก คุยกันรู้เรื่อง และตนคงต้องมีเวลาให้ ซึ่งด้วยหน้าที่และโอกาสตอนนี้ยังไม่มี
ไม่หรอกครับ เพราะถ้าเกิดว่าเรามีแล้ว เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะครับเรามีความรักก็พรีเซนต์ได้ ถ้าเป็นเรานะ แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่มีเลยไม่รู้จะเอาใครมาพรีเซนต์
ตอนนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้เจอใครเลยครับ เจอแต่เพื่อนๆทีมงาน ตอนนี้เราก็ส่วนใหญ่จะโฟกัสเรื่องงาน เลยยังไม่เจอใครที่มันใช่จริงๆ
ด้วยเวลาด้วย เรายังไม่มีเวลาให้เขา ใจเขาใจเรา เราก็ต้องรู้ตัวเองด้วยนะว่า เราทำอะไรอยู่ เจมส์กล่าว